ถาม – ตอบ
ความหมายของการบริหาร
1. อธิบายเกี่ยวกับการบริหาร และให้บอกถึงความหมายของการบริหาร
ตอบ คำว่า การบริหาร นี้ มีนักวิชาการให้ความเห็นว่าน่าจะใช้แทนกันได้ทั้งในทางรัฐกิจและ
ธุรกิจ และคำว่า การบริหารนี้อาจแยกพิจารณาความหมายได้เป็น 2 ประการ คือ ประการที่ 1 พิจารณาในแง่ของความเป็น สาขาวิชาการที่เกี่ยวกับการบริหาร (Administration as a field of study) อันตรงตามความ
หมายของคำว่า การศึกษาการบริหารงาน และอีกประการหนึ่งหมายถึง กิจกรรมในการบริหาร
(Administration as an activity)
ตามที่กล่าวมาข้างต้น การบริหารจึงให้ความหมายในลักษณะที่เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิชา
การบริหารและเห็นว่า การบริหารเป็นสาขาวิชาที่มีการจัดระเบียบให้เป็นระบบของการศึกษา (Systematic
study) หมายถึงการศึกษาค้นคว้าหาหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฎีที่พึงเชื่อถือได้ เพื่อประโยชน์ในการ
บริหารงาน โดยลักษณะเช่นนี้จะเห็นได้ว่าการบริหารมีลักษณะเป็น ศาสตร์ (Science) แต่ถ้าเป็นการบริหารงานที่ต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์แล้ว การบริหารก็จะมีลักษณะเป็น ศิลป์ (Arts)
2. ให้บอกถึงหน้าที่ที่สำคัญของการบริหาร
ตอบ หน้าที่ที่สำคัญของการบริหาร ได้แก่
ก. การวางแผน (Planning) มีขั้นตอนที่สำคัญ 2 ประการ คือขั้นแรกได้แก่การกำหนด
แนวการดำเนินงานในระยะยาวขององค์การนั้นว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ขั้นที่สองกำหนดวัตถุประสงค์
เฉพาะที่แน่นอนของการดำเนินงานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง การกำหนดแผนในระยะสั้นเพื่อให้ทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายหลักที่กำหนดไว้
ข. การจัดรูปองค์การ (Organizing) ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างขององค์การเพื่อให้การ
ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในองค์การให้สอดคล้องและประสานงานกัน หรือกล่าวอีกแง่หนึ่งเพื่อประสิทธิภาพ
ในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว ขั้นตอนในการจัดรูปงานเริ่มด้วยการ
แบ่งงาน การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ กำหนดความสัมพันธ์ของคนกับของงาน และช่อง
ทางการติดต่อภายในองค์การ
ค. การอำนวยการ (Directing) เป็นหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคนหรือจะใช้คนอย่างไรจึงได้
ผลงานมากที่สุด จะต้องศึกษาเกี่ยวกับความเป็นผู้นำ การจูงใจและการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล ผู้บริหารจะต้องเริ่มด้วยการสร้างบรรยากาศในที่ทำงานที่จูงใจให้คนอยากทำงาน ให้ผู้ปฏิบัติงานมีความพอใจ ช่วยเหลือให้คำปรึกษาและชักจูงให้คนแสดงออกทางพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในการทำงาน
ง. การควบคุม (Controlling) จุดมุ่งหมายในการควบคุมก็เพื่อให้งานดำเนินไปตามแผน
ที่วางไว้มีขั้นตอนสำคัญ 4 ประการ คือ
1. การกำหนดมาตรฐานของงานขึ้น
2. การวัดการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริง
3. การเปรียบเทียบมาตรฐานกับผลงานและ
4. การแก้ไขถ้าหากผลงานเกิดขึ้นจริงแตกต่างไปจากมาตรฐานที่กำหนดไว้
3. ให้อธิบายถึงการศึกษาตามแนวพฤติกรรม (Behavioral Approach)
ตอบ เป็นการนำเอาผลการวิจัยทางด้านสังคม
วิทยาและจิตวิทยามาใช้ในการแก้ปัญหาการบริหาร ผลการศึกษาสรุปว่า การนำเอาปัจจัยทางด้านสังคมและปัจจัยตัวบุคคลกับการบริหารมีความสำคัญกว่าการใช้ทางด้านวัตถุอย่างเดียว การศึกษาจะวิเคราะห์ ปัญหาของสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของกลุ่มและพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
4. การศึกษาตามแนวพฤติกรรมแบ่งแนวการศึกษาออกเป็นกี่ลักษณะ ได้แก่ลักษณะใดบ้าง
ตอบ แนวการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือ
ก. ทฤษฎีองค์การ (Organization theory) การศึกษาทางด้านนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
ส่วนแรกศึกษาถึงโครงสร้างขององค์การที่เหมาะสมซึ่งจะนำมาใช้โดยยึดถือผลประโยชน์ที่พึงได้รับกับค่า
ใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ส่วนที่สองเป็นการกล่าวถึงการใช้อำนาจบังคับบัญชา การยอมรับในอำนาจบังคับบัญชา
ประเภทของอำนาจบังคับบัญชา การมอบหมายงาน การกระจายอำนาจและความเท่าเทียมกันระหว่างอำนาจบังคับบัญชากับความรับผิดชอบ
ข. พฤติกรรมองค์การ (Organization Behavior) เป็นการกล่าวถึงระบบการจูงใจ
พนักงานในหัวข้อที่เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับองค์การ ปัญหาทางด้านจิตวิทยาและสังคมวิทยา
ของคน ทฤษฎีการจูงในความต้องการของคน อิทธิพลของกลุ่ม ความเป็นผู้นำและการพัฒนาคนเพื่อก่อ
ให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อองค์การ
ค. การพัฒนาองค์การ (Organization Development) ศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงขององค์
การ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในองค์การ ประสิทธิภาพ บรรยากาศภายในองค์การและขวัญของพนักงาน
5. เราจะนำเอาวิธีการเชิงปริมาณมาใช้ในกรณีที่เกิดปัญหาใดบ้าง
ตอบ การศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Approach) วิวัฒนาการทางการบริหารที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้นำเอาวิธีการทางการคำนวณมาใช้ในการแก้ปัญหา เช่น การระดมทหารและการพัฒนาอาวุธ ผู้บริหารในองค์การธุรกิจจึงนำเอาเทคนิคทางคณิตศาสตร์และแบบจำลอง (model) มาใช้ในการตัดสินใจแทนการใช้สัญชาตญาณและประสบการณ์ที่เคยใช้กันมาก่อน ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องนำเอาวิธีการเชิงปริมาณมาใช้ 3 ประการ คือ
1. หนทางเลือกดำเนินงานมีอยู่มากแต่ละทางเลือกก็ก่อให้เกิดผลต่างๆ กัน
2. มีข้อจำกัดในการดำเนินงานทำให้เป็นการยากที่จะคาดคะเนผลที่จะได้จากการดำเนิน
งานนั้น ๆ
3. เป้าหมายของการดำเนินงานมีหลายอย่างและแต่ละอย่างก็แตกต่างกัน เครื่องมือทาง
ปริมาณที่นำมาใช้ในการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร จะมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
3.1 สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ขึ้นมาให้เหมาะสมกับรูปเรื่อง และสภาพ
ของปัญหาที่พิจารณา ขณะเดียวกันจะต้องแสดงให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหานั้นด้วย
3.2 กำหนดมาตรการที่จะใช้วัดว่าจะอาศัยหลักเกณฑ์อะไร ในการเลือกกระทำ
หรือตัดสินใจ
3.3 การวิเคราะห์ปัญหาใช้วิธีศึกษาจากผลไปหาเหตุ โดยกำหนดเป็นจำนวนหรือ
เป็นค่าที่แน่นอน
3.4 กระบวนการตัดสินใจ หรือการเลือกการกระทำมักจะถือหลักผลประโยชน์สูง
สุดเป็นเกณฑ์
6. ให้ท่านอธิบายแนวความคิดในเชิงระบบ (System Approach)
ตอบ การศึกษาในเชิงระบบ (System Approach) แนวความคิดในเชิงระบบนี้เกิดขึ้นเนื่องจากความจริงที่ว่า การบริหารประกอบด้วยส่วนต่างๆ หลายส่วน แต่ละส่วนรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้า
ส่วนหนึ่งส่วนใดเปลี่ยนแปลงไปจะกระทบถึงส่วนอื่น ๆ ด้วย การพิจารณาความสัมพันธ์ของหน้าที่ต่าง ๆ
ทางการบริหารจะต้องศึกษาถึงลักษณะของแต่ละส่วน ความมุ่งหมายของการนำไปใช้ เงื่อนไขที่จะทำให้
ใช้งานได้ ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง สาระสำคัญของการบริหารในเชิงระบบเป็นการรวมเอาแนวความ
คิดทางด้านมนุษยสัมพันธ์และการบริหารเชิงปริมาณมารวมกัน เช่น การวางแผนก็นำเอาเทคนิคทางด้าน
พยากรณ์มาใช้ แทนที่จะกล่าวถึงขั้นตอนของการดำเนินงานอย่างเดียว
7. การบริหารขององค์การต่าง ๆ โดยส่วนมากจะจำแนกการบริหารองค์การออกเป็นระดับใดบ้าง
ตอบ จะจำแนกการบริหารองค์การออกเป็นระดับต่าง ๆ ได้แก่
1) คณะกรรมการขององค์การ (Board of Directors) มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดภารกิจ
(Mission) ขององค์การ
2) ผู้บริหารระดับสูง (Top Executives) มีบทบาทหน้าที่ในการนำภารกิจที่กำหนดโดยคณะกรรมการขององค์การมาแปลงเป็นแผนกลยุทธ์ (Strategic Plan) เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารองค์การไห้บรรลุเป้าหมายตามภารกิจที่คณะกรรมการขององค์การกำหนด
3) ผู้บริหารระดับกลาง (Middle-level Managers) มีบทบาทหน้าที่ในการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารระดับต้น โดยทำหน้าที่แปลงแผนกลยุทธ์ให้เป็นแผนบริหาร (Managerial Plan) ซึ่งจะมีความเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น เพื่อให้ผู้บริหารระดับต้นสามารถนำไปจัดทำเป็นแผนปฏิบัติให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของแผนกลยุทธ์
4) ผู้บริหารระดับต้น (First-level Managers) มีบทบาทหน้าที่ในการแปลงแผนบริหารให้เป็นแผน ปฏิบัติการ (Operational Plan) เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของแผนบริหารและแผนกลยุทธ์ ( สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. นโยบาย สาธารณะและการวางแผน : ในพัฒนาบริหารศาสตร์ ปีที่ 37 ฉบับที่ 1 มกราคม มีนาคม 2540 , 34 )
8. ให้อธิบายเกี่ยวกับระดับและทักษะของการบริหาร
ตอบ Robert L. Katz นักวิชาการและนักธุรกิจ ได้ชี้ให้เห็นถึงประเภทของทักษะทั้งสาม คือ
ทักษะทางด้านเทคนิค ทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ และทักษะทางด้านความคิด ที่ผู้บริหารทุกคนจะต้องมี
ทักษะทางด้านเทคนิค คือความสามารถในการใช้เครื่องมือ ระเบียบวิธีปฏิบัติงานหรือ
เทคนิคต่างๆ ของสาขาวิชาเฉพาะอย่าง เช่น ศัลยแพทย์ นักวิศวกร นักดนตรี หรือนักบัญชีทุกคนจะต้องมี
ทักษะทางด้านเทคนิคในขอบเขตของงานของพวกเขา ผู้บริหารต้องการทักษะทางด้านเทคนิคที่เพียงพอ
สำหรับ ความสำเร็จของงานอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ที่เขาต้องรับผิดชอบอยู่
ทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ ความสามารถในการทำงานร่วม เข้าใจและจูงใจบุคคล
อื่น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือกลุ่ม ผู้บริหารต้องการทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ดังกล่าว เพื่อความมีประ
สิทธิภาพสำหรับการเป็นผู้นำ
ทักษะทางด้านความคิด คือ ความสามารถทางด้านสมอง การประสานงาน และการทำให้
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผลประโยชน์และกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมดขององค์การ ทักษะทางด้านความคิด
จะเป็นความสามารถของผู้บริหารในการมององค์การโดยรวม และมีความเข้าใจว่าส่วนต่างๆ ขององค์การ
ขึ้นอยู่กับส่วนอื่นๆ อย่างไร และการเปลี่ยนแปลงของส่วนใดส่วนหนึ่งจะมีผลกระทบต่อองค์การโดยรวม
อย่างไร ผู้บริหารต้องการทักษะทางด้านความคิดที่เพียงพอสำหรับการพิจารณาว่า ปัจจัยต่าง ๆ ของ
สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งมีความเกี่ยวพันระหว่างกันอย่างไร เพื่อทำให้การกระทำของเขาเป็นผลดี
กับองค์การ
Katz เสนอแนะว่า ถึงแม้ว่าทักษะทั้งสามดังกล่าวนี้จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพก็ตาม ความสำคัญของทักษะเหล่านี้ที่มีต่อผู้บริหารคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะจะขึ้นอยู่กับระดับของผู้บริหารภายในองค์การ ทักษะทางด้านเทคนิคจะมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับระดับการบริหารต่ำสุด ความสามารถทางด้านเทคนิคจะมีความสำคัญน้อยลงสำหรับระดับการบริหารที่อยู่สูงขึ้นไป หัวหน้าคนงานของโรงงานย่อมจะต้องการทักษะทางด้านเทคนิคมากกว่าประธานของบริษัท เพราะว่าเขาจะต้องจัดการเกี่ยวกับปัญหาของการผลิตที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ในขณะที่ทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์จะมีความสำคัญสำหรับทุกระดับขององค์การ
ความสำคัญของทักษะทางด้านความคิด จะเพิ่มขึ้นสำหรับระดับการบริการที่อยู่สูงขึ้นไป
ผู้บริหารระดับสูงจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อองค์การเกือบทั้งหมด สำหรับผู้บริหารระดับสูงสุด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบองค์การโดยรวมนั้น ความสามารถทางด้านความคิดจะมีความสำคัญมากที่สุดในบรรดาทักษะทั้งหมด
9. ให้อธิบายถึง คำนิยามของคำว่า การบริหาร
ตอบ การให้คำนิยามของคำว่า การบริหารมีอยู่ต่างๆ กันขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ความคิด
เห็นและความเข้าใจที่แตกต่างกัน ไม่มีคำใดที่เป็นมาตรฐานหรือเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่ละคำก็ให้
ความหมายและความเข้าใจแก่ผู้ใช้ในลักษณะเดียวกันเช่น
“การบริหาร คือ การใช้ทรัพยากรร่วมกันของทุกคนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้”
“การบริหารเป็นกระบวนการที่ทำให้งานสำเร็จลง โดยการใช้ทรัพยากรบุคคลและวัตถุเข้าด้วยกัน”
“การบริหาร คือ การวางแผนและการใช้แผนที่วางไว้”
“การบริหาร คือ การทำให้งานสำเร็จโดยอาศัยการร่วมมือของคนอื่น”
10. ให้บอกความแตกต่างระหว่างทักษะทางด้านเทคนิคและทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์
ตอบ ทักษะทางด้านเทคนิค คือความสามารถในการใช้เครื่องมือ ระเบียบวิธีปฏิบัติงานหรือ
เทคนิคต่างๆ ของสาขาวิชาเฉพาะอย่าง เช่น ศัลยแพทย์ นักวิศวกร นักดนตรี หรือนักบัญชีทุกคนจะต้องมี
ทักษะทางด้านเทคนิคในขอบเขตของงานของพวกเขา ผู้บริหารต้องการทักษะทางด้านเทคนิคที่เพียงพอ
สำหรับ ความสำเร็จของงานอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ ที่เขาต้องรับผิดชอบอยู่
ทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ ความสามารถในการทำงานร่วม เข้าใจและจูงใจบุคคล
อื่น ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือกลุ่ม ผู้บริหารต้องการทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ดังกล่าว เพื่อความมีประ
สิทธิภาพสำหรับการเป็นผู้นำ
ความหมายของการบริหาร
มีสองคำที่ใช้ในความหมายเดียวกัน คือ คำว่า การบริหาร (Administration) และการจัดการ (Management) การบริหาร ใช้ในการบริหารระดับสูง หน้าที่เน้นหนักที่การกำหนดนโยบายที่สำคัญและการกำหนดแผนไปสู่การปฏิบัติ (Implementation) เป็นคำที่นิยมใช้ในการบริหารรัฐกิจ (Public administration) เน้นการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบาย (แผนที่ได้วางไว้) นิยมใช้สำหรับการจัดการธุรกิจ
นอกจากนั้นได้มีผู้ให้คำนิยามหรือความหมายของคำว่า การบริหารไว้ ดังนี้
การบริหาร คือ ศิลปะในการทำให้สิ่งต่างๆ ได้รับการกระทำจนเป็นผลสำเร็จ
การบริหาร คือ กระบวนการทางสังคมซึ่งพิจารณาได้เป็น 3 ทาง คือ
1. ทางโครงสร้าง เป็นความสำพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับ
ขั้นตอนของสายการบังคัญบัญชา
2. ทางหน้าที่ เป็นขั้นตอนของหน่วยงานที่ระบุหน้าที่ บทบาท ความรับผิดชอบ และ
เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย
3. ทางปฏิบัติการ เป็นกระบวนการบริหารดำเนินการในสถานการณ์ที่บุคลต่อบุคคลกำลัง
มีปฏิสัมพันธ์หรือร่วมทำปฏิกิริยาเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
การบริหาร คือการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยอาศัยคน เงิน วัตถุ
สิ่งของเป็นปัจจัยในการบฏิบัติงาน
กล่าวโดยสรุป การบริหาร คือ กระบวนการทางสังคมของบุคคลที่ทำหน้าที่การวางแผน
การจัดองค์การ จัดคนเข้าทำงาน สั่งการ และควบคุมการทำงานให้กิจกรรมขององค์การดำเนินงาน
ไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานปัจจัยในการผลิต
องค์ประกอบของการบริหาร (Management Component)
การบริหารงานทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการจำเป้นต้องใช้ปัจจัยและทรัพยากรพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมการผลิตการบริหารจะมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1. เป้าหมาย(Goal) หรือวัตถุประสงค์ที่แน่นอนในการบริหารองค์การ ผู้บริหารจะต้องมีการกำหนด
ทิศทางหรือวัตถุประสงค์ของการทำงานได้อย่างชัดเจน
2. ปัจจัยการบริหาร (Factor of Management) ที่สำคัญได้แก่
1. คน (Man)
2. เงิน ( Money)
3. วัสดุ (Material)
4. เทคนิควิธี ( Method)
5. เครื่องจักร (Machine)
ปัจจัยการบริหารต้องคำนึงถึงผลหลายๆด้านดังนั้นนักบริหารจึงให้ความสำคัญกับการตลาด(Marketing) และถือว่าเป็นปัจจัยการบริหารอีกตัวหนึ่งก็ได้
3.ลักษณะของการบริหาร (Management Style) การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ผู้บริหารจะต้องนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดต่อองค์การ
หน้าที่ของการบริหาร
ลูเธอร์ กลูวิลค์ ( Luther Gulick ) ได้จำแนกหน้าที่ของการบริหาร(Function of management)
ที่เรียกว่า การบริหารแบบ Posdcore Model มีรายละเอียดดังนี้
P = Planning การวางแผน หมายถึง การจัดวางโครงการและแผนการปฎิบัติงานขององค์การ
ไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทำอะไรบ้างและทำอย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
· = Organizing การจัดองค์การ หมายถึง การกำหนดโครงสร้างขององค์การ
· การแบ่งส่วนงาน การจัดสายงาน การกำหนดตำแหน่งและหน้าที่ของงานต่างๆ อย่างชัดเจน
S = Staffing การจัดตัวบุคคล หมายถึง การบริหารงานบุคคลในด้านต่างๆ
ขององค์การ ได้แก่ การวิเคราะห์อัตรากำลัง การจัดอัตรากำลัง การสรรหา การพัฒนาบุคคล
การบำรุงรักษาบุคคลให้มีประสิทธิภาพ
D = Directing การอำนวยการ หมายถึง การวินิจฉัยสั่งการของผู้บริหารองค์การ
ในการตัดสินใจ การควบคุมบังคับบัญชาและควบคุมการปฎิบัติงาน
Co = Co-ordinating การประสานงาน หมายถึง การติดต่อประสานงานที่เชื่อม
โยงงานของทุกคน ทุกฝ่ายทั้งภายในและภายนอก เพื่อให้งานดำเนินไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้
R = Reporting การรายงาน หมายถึง การรายงานผลการปฎิบัติงานของหน่วยงาน
ให้ผู้บริหารและสมาชิกขององค์การได้ทราบความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของหน่วยงาน
B = Budgeting การงบประมาณ หมายถึง การจัดทำงบประมาณ การทำบัญชี
การใช้จ่ายเงินและการควบคุมตรวจสอบด้านการเงินและทรัพย์สินขององค์การ
สรุปความหมายการบริหาร
1ทฤษฎีการบริหาร
- Peter F. Druker ให้ความหมายว่า “ การบริหารคือการทำให้งานต่าง ๆ ลุล่วงไปโดยอาศัยคนอื่นเป็นผู้ทำ ”
- Terry ให้ความหมายว่า “ การบริหารเป็นกระบวนการที่ประกอบด้วยการวางแผน การจัดองค์การ การกระตุ้น และการควบคุม ซึ่งจะนำไปสู่การพิจารณา จัดการกับบุคคล และทรัพยากรให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ”
- McFarland กล่าวว่า “ การบริหารเป็นกระบวนการบูรณาการขั้นพื้นฐานในการจัดกิจกรรมขององค์การที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ ”
- Dejon ให้ความหมายว่า “ การบริหารเป็นกระบวนที่จะทำให้วัตถุประสงค์ประสบความสำเร็จโดยผ่านทางบุคคลและการใช้ทรัพยากรอื่น กระบวนการดังกล่าวรวมถึงองค์ประกอบของการบริหารอันได้แก่ การกำหนดวัตถุประสงค์ การวางแผน การจัดองค์การ การกำหนดนโยบายการบริหาร และการควบคุม ”
- Dale ให้ความหมายว่า “ การบริหารหมายถึงการวางแผน การจัดองค์การ การบริหารบุคคล การอำนวยการการควบคุมนวัตกรรมและการเป็นตัวแทน”
- Hersey,Blanchard and Johnson 2001 ให้ความหมายว่า “ การบริหารเป็นกระบวนการทำงานพร้อมกับบุคคลและกลุ่มบุคคล ”
สรุปแนวคิดทฤษฎีการบริหาร
การบริหารคือ การนำทฤษฎีสู่การปฏิบัติอย่างเป็นระบบ โดยมีการวางแผน กำหนดวัตถุประสงค์ การจัดการ การดำเนินงานตามแผนและมีระบบควบคุมดูแลเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรนั้น ๆ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงยึดบริบทขององค์การทั้งด้านทรัพยากร และบุคลากรในองค์การที่มีอยู่
2.หลักการบริหารของFayol
หลักการของฟาโยล์เป็นหลักการที่มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการได้ตลอดเวลามีความเข้าใจวิธีการ โดยใช้สติปัญญาประสบการณ์ การตัดสินใจมีหลักการ 14 ประการ
1. การแบ่งงานกัน ( Division of Work ) มอบหมายงานให้ตรงกับความสามารถของแต่ละบุคคล แบ่งงานให้เสมอภาคด้วยความยุติธรรมให้กำลังใจในการทำงานอย่างทั่วถึง
2. อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ( Authority and Rseponsibility ) อำนาจการสั่งการของผู้บริหารมีความแตกต่างกันระหว่างอำนาจผู้บริหารที่อยู่ในที่ทำงานกับอำนาจที่เกิดจากบุคลิกภาพรวมถึงสติปัญญา ประสบการณ์ความเป็นผู้นำ
3. ความมีวินัย ( Discipline ) ให้บุคลากรได้รู้จักโครงสร้างสายงาน มีความสามัคคี ความมีวินัย เป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้องค์กรบรรลุถึงวัตถุประสงค์
4. ความมีเอกภาพ ( Unity of Command ) ในการบังคับบัญชาควรถือตามคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
5. ความมีเอกภาพในการอำนวยการ ( Unity of Direction )ในการจัดกิจกรรมกลุ่มควรมีหัวหน้าเพียงคนเดียวต่อหนึ่งกิจกรรม
6. ความสนใจของบุคคลต้องเป็นรองความสนใจของคนส่วนรวม( Subordination of individual interests to General Interests ) ความสนใจของผู้ปฏิบัติหนึ่งคนไม่นำมาเป็นความสนใจของคนอื่นที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมมีการยอมรับข้อตกลงจากส่วนรวมให้มากที่สุด
7. การให้ผลตอบแทน ( Remuneration ) ควรเป็นธรรมและให้เกิดความพึงพอใจต่อบุคลากรในองค์การ
8. การรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ( Centralization ) ขึ้นอยู่กับสภาพขององค์การในขณะนั้นรวมถึงคุณลักษณะด้านคุณธรรมของผู้บริหาร
9. สายการบังคับบัญชา ( Scalar chain ) เป็นการแสดงความห่างกันระหว่างผู้มีอำนาจสูงสุดกับผู้ใต้บังคับบัญชาถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรมี
10. คำสั่ง ( Order ) ผู้รับคำสั่งจำเป็นต้องอยู่ในบริเวณที่รับคำสั่ง และผู้ปฏิบัติต้องอยู่ในที่มีการสั่งการ
11. ความเสมอภาค ( Equity ) ผู้บริหารต้องให้ความเมตตาและให้ผลตอบแทนที่เป็นธรรมกับทุกคน
12. ความมั่นคง ( Stability of Tenure of Personnel) ในหน้าที่การงานให้บุคลากรในองค์การได้ใช้เวลาในการทำงานโดยอาศัยประสบการณ์เดิมที่เขามีดึงออกมาใช้ในการปฏิบัติงานจะทำให้การทำงานขององค์การมั่นคงขึ้น
13. ความคิดริเริ่ม ( Initiative ) การคิดแตกต่างไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่เป็นการสร้างสรรค์งานให้สำเร็จได้เป็นการเพิ่มความเข้มแข็งให้กับองค์การอีกทางหนึ่ง
14. ความสามัคคี ( Esprit de corpse ) ต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับบุคคลในองค์การจะทำให้การดำเนินงานขององค์การประสบความสำเร็จ
สรุป
พัฒนาการของทฤษฎีการบริหารเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และเทคโนโลยี การนำทฤษฎีการบริหารมาใช้ในการบริหารงานนั้น ผู้บริหารต้องมีมนุษยสัมพันธ์และมีทักษะในการนำเทคนิควิธีมาใช้ให้เหมาะสมกับบริบทขององค์การนั้น ๆ
้ืืืื้้้้